อยู่อย่างรู้ตัวพร้อม ละการปรุงแต่งที่หลอกตัวเอง ไม่ประเมินตีค่า ตีความเข้าข้างตัวเอง
บันทึกของวันนี้ เขียนขึ้นเพื่อสื่อฝากสายลมแห่งคำพูดไปให้ใครบางคนค่ะ ใครคนนั้นเป็นคนที่อ่อนอาวุโสกว่าฉัน ซึ่งฉันนั้นให้ใจ ใส่ใจห่วงใยตลอดมา เพื่อที่จะบอกว่า สิ่งที่เธอตอบแทนกลับมาให้ฉันนั้น ช่างทำร้ายใจฉันเสียนี่กระไร
ในบันทึกหนึ่งของอาจารย์ประพนธ์ ผาสุกยืด ได้เขียนเตือนใจไว้ว่า อุเบกขาต้องไม่ใช่ทั้ง “ปล่อยเกาะ” และ “ปล่อยให้เกาะ” เพราะคำว่าปล่อยเกาะหมายถึงการไม่ใยดี เพิกเฉย ไม่สนใจ เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ซึ่งอุเบกขานั้นไม่ใช่การเฉยในทำนองนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่การ “ปล่อยให้เกาะ” เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่อุเบกขาเช่นกัน อุเบกขาเป็นการอยู่กับปัจจุบันอย่างที่สุด คือการ “สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน” เป็นการที่เรา “IN” กับเรื่องนั้นๆ แต่ไม่ได้ “IN” อย่าง “โงหัวไม่ขึ้น”
ในวันนี้ตัวฉันได้ยินเสียง Voice of Judgement ภายในตัวฉันว่า ถึงเวลาที่ฉันควรละวาง ความห่วงใยทั้งหลาย แล้วถอยกายออกมาห่างๆ ด้วย ณ เวลานี้นั้น ผู้คนที่ฉันห่วงใย ได้เติบโตแก่กล้าพอที่จะบินได้ด้วยตัวเองแล้ว สิ่งทั้งหลายที่ผ่านฉันขออโหสิผ่านที่นี่ เพื่อที่จะไม่มีสิ่งที่ติดค้างใดๆต่อกัน ฉันขอถอยออกมาเพื่อให้ใจยังมีเหลือมุมมองบวกที่หล่อเลี้ยงความรู้สึกต่อกันให้คงอยู่ต่อไปได้อีกยาวนาน
การตัดสินใจวันนี้ เป็นด้วยใจฉันบอกให้ยอมรับที่จะ "อยู่กับปัจจุบัน" อย่าได้ไปเพ้อฝันในสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ เป็นการอยู่แบบ “Live with that moment” อยู่อย่างรู้ตัวพร้อม ละการปรุงแต่งที่หลอกตัวเอง ไม่ประเมินตีค่า ตีความเข้าข้างตัวเอง ให้อนาถใจค่ะ
ที่ใจมันบอกว่าให้ละวางความเกี่ยวพัน เกิดจากการสนทนาลึกระดับ 4 กับใจฉันแล้วหลายรอบและบ่อยครั้ง มันให้คำตอบว่า หากฉันทุกข์ใจกับความห่วงใยใส่ใจใครๆ ก็ควรละวางปล่อยมันซะ ไม่ขืนหยิบมันมาถือ
ด้วยคำตอบสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในใจ คือ ปล่อยวางมันซะเถอะ จะยึดมันไว้ให้ทุกข์ทำไม การตัดสินใจ ณ วันนี้ จึงเกิดขึ้น มันเป็นการตัดสินใจที่ใจได้ไตร่ตรองใคร่ครวญมาแล้ว ในคราต่อไป ฉันจะ IN กับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธอทั้งหลายแบบที่อาจารย์ประพนธ์กล่าวไว้ข้างต้นแบบ “สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน” เท่านั้น เมื่อตัดสินใจได้ฉันโล่งอกมากค่ะ
ก่อนจบบันทึกฉบับนี้ลง ฉันขออัญเชิญพระราชดำรัสของในหลวงที่ฉันเคารพรักท่านเป็นอย่างยิ่งมาฝากไว้แทนใจ และเพื่อเตือนใจท่านที่เข้ามาอ่านซึ่งมีเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าอยู่นะค่ะ
ขอขอบคุณน้องราณีที่ส่งต่อพระราชดำรัสในหลวงนี้มาให้เหมาะกับเวลาเลยค่ะ
กับเพื่อนร่วมงาน
“ ไม่ใช่คำว่าทำงานร่วมกัน......อยู่ร่วมกันไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง....ทุกวัน....ไม่เพียงแต่พูดคุยเรื่องงาน......หากแต่ต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย.....แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด......สู้ปล่อยตัวให้สบาย สบาย ไม่ได้.......พบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน......อยู่ร่วมกันก็ยิ่งควรจะ.......เข้าใจกัน......ให้อภัย......และใส่ใจซึ่งกันและกัน...”
กับหัวหน้า
บางครั้งก็เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง เขามักมาต่อว่ามากกว่ายอมรับ สิ่งที่เขาให้ทำก็มักจะเหมือนกับว่า ไม่รู้จักจบสิ้น หากลองกลับกัน ให้เราไปอยู่ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่ เราคงจะเข้าใจเขาได้ง่ายหน่อย และให้อภัยเขาได้ กับหัวหน้า......ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ปรับกัน แต่จะต้องรู้จักที่จะแบ่งปัน......เรียนรู้......และเติบโตด้วยกัน
14 กรกฎาคม 2551