หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

แพ้ใจ.......เพื่อชนะใจตัวเอง


อยู่อย่างรู้ตัวพร้อม ละการปรุงแต่งที่หลอกตัวเอง ไม่ประเมินตีค่า ตีความเข้าข้างตัวเอง

บันทึกของวันนี้ เขียนขึ้นเพื่อสื่อฝากสายลมแห่งคำพูดไปให้ใครบางคนค่ะ  ใครคนนั้นเป็นคนที่อ่อนอาวุโสกว่าฉัน ซึ่งฉันนั้นให้ใจ ใส่ใจห่วงใยตลอดมา เพื่อที่จะบอกว่า สิ่งที่เธอตอบแทนกลับมาให้ฉันนั้น ช่างทำร้ายใจฉันเสียนี่กระไร

 

ในบันทึกหนึ่งของอาจารย์ประพนธ์ ผาสุกยืด ได้เขียนเตือนใจไว้ว่า  อุเบกขาต้องไม่ใช่ทั้ง ปล่อยเกาะ และ ปล่อยให้เกาะ เพราะคำว่าปล่อยเกาะหมายถึงการไม่ใยดี เพิกเฉย ไม่สนใจ เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ซึ่งอุเบกขานั้นไม่ใช่การเฉยในทำนองนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่การ ปล่อยให้เกาะ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่อุเบกขาเช่นกัน อุเบกขาเป็นการอยู่กับปัจจุบันอย่างที่สุด คือการ สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน เป็นการที่เรา  “IN” กับเรื่องนั้นๆ แต่ไม่ได้ “IN” อย่าง โงหัวไม่ขึ้น 

 

ในวันนี้ตัวฉันได้ยินเสียง  Voice of Judgement  ภายในตัวฉันว่า ถึงเวลาที่ฉันควรละวาง ความห่วงใยทั้งหลาย แล้วถอยกายออกมาห่างๆ ด้วย ณ เวลานี้นั้น ผู้คนที่ฉันห่วงใย ได้เติบโตแก่กล้าพอที่จะบินได้ด้วยตัวเองแล้ว  สิ่งทั้งหลายที่ผ่านฉันขออโหสิผ่านที่นี่ เพื่อที่จะไม่มีสิ่งที่ติดค้างใดๆต่อกัน ฉันขอถอยออกมาเพื่อให้ใจยังมีเหลือมุมมองบวกที่หล่อเลี้ยงความรู้สึกต่อกันให้คงอยู่ต่อไปได้อีกยาวนาน

 

การตัดสินใจวันนี้ เป็นด้วยใจฉันบอกให้ยอมรับที่จะ "อยู่กับปัจจุบัน"  อย่าได้ไปเพ้อฝันในสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ  เป็นการอยู่แบบ “Live with that moment”  อยู่อย่างรู้ตัวพร้อม ละการปรุงแต่งที่หลอกตัวเอง  ไม่ประเมินตีค่า ตีความเข้าข้างตัวเอง ให้อนาถใจค่ะ

 

ที่ใจมันบอกว่าให้ละวางความเกี่ยวพัน เกิดจากการสนทนาลึกระดับ 4 กับใจฉันแล้วหลายรอบและบ่อยครั้ง  มันให้คำตอบว่า หากฉันทุกข์ใจกับความห่วงใยใส่ใจใครๆ  ก็ควรละวางปล่อยมันซะ ไม่ขืนหยิบมันมาถือ 

 

 

 

ด้วยคำตอบสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในใจ คือ ปล่อยวางมันซะเถอะ  จะยึดมันไว้ให้ทุกข์ทำไม  การตัดสินใจ ณ วันนี้ จึงเกิดขึ้น มันเป็นการตัดสินใจที่ใจได้ไตร่ตรองใคร่ครวญมาแล้ว   ในคราต่อไป ฉันจะ IN กับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธอทั้งหลายแบบที่อาจารย์ประพนธ์กล่าวไว้ข้างต้นแบบ สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน  เท่านั้น  เมื่อตัดสินใจได้ฉันโล่งอกมากค่ะ 

 

ก่อนจบบันทึกฉบับนี้ลง ฉันขออัญเชิญพระราชดำรัสของในหลวงที่ฉันเคารพรักท่านเป็นอย่างยิ่งมาฝากไว้แทนใจ และเพื่อเตือนใจท่านที่เข้ามาอ่านซึ่งมีเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าอยู่นะค่ะ   

ขอขอบคุณน้องราณีที่ส่งต่อพระราชดำรัสในหลวงนี้มาให้เหมาะกับเวลาเลยค่ะ

 

กับเพื่อนร่วมงาน

ไม่ใช่คำว่าทำงานร่วมกัน......อยู่ร่วมกันไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง....ทุกวัน....ไม่เพียงแต่พูดคุยเรื่องงาน......หากแต่ต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย.....แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด......สู้ปล่อยตัวให้สบาย สบาย ไม่ได้.......พบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน......อยู่ร่วมกันก็ยิ่งควรจะ.......เข้าใจกัน......ให้อภัย......และใส่ใจซึ่งกันและกัน...

 

กับหัวหน้า

บางครั้งก็เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง  เขามักมาต่อว่ามากกว่ายอมรับ  สิ่งที่เขาให้ทำก็มักจะเหมือนกับว่า ไม่รู้จักจบสิ้น  หากลองกลับกัน  ให้เราไปอยู่ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่  เราคงจะเข้าใจเขาได้ง่ายหน่อย และให้อภัยเขาได้  กับหัวหน้า......ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ปรับกัน แต่จะต้องรู้จักที่จะแบ่งปัน......เรียนรู้......และเติบโตด้วยกัน

 

14 กรกฎาคม 2551

  

 

หมายเลขบันทึก: 194193เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2008 23:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊ที่คิดถึ้ง..คิดถึง

หนิงยอมรับค่ะว่า ตัวเองเป็นคนดื้อกับหัวหน้าฯเอาเรื่องอยู่  แต่หนิงชอบ blog เถียงแต่ไม่ทะเลาะ ของอาจารย์จารุวัจน์มากเลยนะคะ  ก็พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา  ด้วยบทบาทสมมตว่า  เออนะ..ถ้าเราเป็นหัวหน้าฯแล้วมีลูกน้องอย่างเรา  นี่เราจะทำไงดี  555  (ไล่ออก  ขำขำ )

ชอบจังเลย  อุบกขา  ไม่ใช่ ปล่อยเกาะ หรือ ปล่อยให้เกาะ

ขอบพระคุณค่ะ

รักพี่หมอเจ๊ นะคะ

สวัสดีครับพี่หมอเจ๊

    ผมอ่านบันทึกแล้วเป็นห่วงนะครับ ผมจึึงขออนุญาตเอาบันทึกแรกที่ได้เขียนไว้ในชุมชนแ่ห่งนี้นะครับ มาฝากพี่หมอครัีบ

ทุกสิ่งล้วนสมมติขึ้น มีกรรม มีอายุขัย และธรรมดา

    หวังว่าจะทำให้พี่สบายใจมากขึ้นครับผม

ขอบคุณมากๆ นะครับ

เม้งครัีบ

สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊

ตามมาเป็นกำลังใจให้พี่คะ

การให้ผู้อื่น เหมือนกับได้ให้ตัวเองเช่นกันคะ  เพราะคิดถึงเมื่อไรก็สุขใจเมื่อนั้น เมื่อให้ก็ถือว่าให้ไป ไม่ต้องคิดว่าได้อะไรกลับมา แต่สิ่งที่ให้แล้วต้องตั้งอยู่บนความ พอดี  พอเหมาะ พอควร   แต่ถ้าเกินก็อาจทำให้เราเดือดร้อนได้ ทุกอย่างเป็นวัฎจักร เวลาจะช่วยให้อะไรดีขึ้นนะคะ

อิอิ ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นกำลังใจนะคะ  รักและคิดถึงเสมอคะ

จากชื่อบันทึกนะคะ แพ้ใจ....เพื่อชนะใจตัวเอง

เพิ่มเติมนิดนะคะ (คัดลอกมาฝากค่ะ)เพราะเห็นคำว่าแพ้เพื่อชนะหลักธรรมคือ อพยาบาทวิตก

เขาได้ให้แง่คิดว่า การคิดปองร้ายเป็นประตูสู่ความพ่ายแพ้ แต่การคิดจะให้เป็นประตูสู่ชัยชนะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ  ขอบคุณคะ

 

 

  •  
    • DSS "work with disability" ( หนิง ) ค่ะ
    • มาก่อนใครเพื่อนเลยนะน้อง
    • พี่เป็นคนหัวดื้อ แบบอาจารย์จารุวัจน์ และชอบใจในบันทึกของอาจารย์ที่น้องหนิงอ้างถึงไว้เช่นกัน
    • ประเด็นของบันทึกนี้ หาใช่พี่มีเรื่องทะเลาะ หรือเถียงกับใครไม่
    • หากแต่เป็นบททบทวนที่ทะเลาะเถียงตัวเองจ๊า
    • เถียงกันได้ที่แล้วก็นำมาบันทึกไว้เพื่อสะท้อนให้ตัวเองได้ทวนว่า เคยสะท้อนคิดอะไรไว้กันลืมค่ะ
    • ขอบคุณค่ะที่ให้ใจกับพี่ แวะมาคุยด้วยทันใจ

ขอบคุณค่ะคุณพี่หมอเจ๊

บางครั้งก็เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง  เขามักมาต่อว่ามากกว่ายอมรับ  สิ่งที่เขาให้ทำก็มักจะเหมือนกับว่า ไม่รู้จักจบสิ้น  หากลองกลับกัน  ให้เราไปอยู่ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่  เราคงจะเข้าใจเขาได้ง่ายหน่อย และให้อภัยเขาได้  กับหัวหน้า......ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ปรับกัน แต่จะต้องรู้จักที่จะแบ่งปัน......เรียนรู้......และเติบโตด้วยกัน

... ปูเพิ่งปะทะคารม ไปเมื่อบ่ายนี่เองค่ะ ...

แรกๆ สะใจนะคะ ... แต่พอมาคิดอีกที รู้สึกผิดเลย

ขอบคุณค่ะ เจริญอาหารนะคะ

  • อีตาเม้ง เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ เจ้าขา
  • พี่น้ำตามซึมเลยน้อง สำหรับความอารีย์มีน้ำใจที่มอบให้
  • ตามไปอ่านบทความแล้ว ตรงใจกับบทความของท่านพุทธทาสนี้ค่ะ
  • มองอะไร มองให้เห็น เป็นครูสอน

  • มองไม้ขอน หรือมองคน ถ้าค้นหา

    มีสิ่งสอน เสมอกัน มีปัญญา

    จะพบว่า ล้วนมีพิษ อนิจจัง

    จะมองทุกข์ หรือมองสุข มองให้ดี

    ว่าจะเป็น อย่างที่ คนเราหวัง

    หรือเป็นไป ตามปัจจัย ให้ระวัง

    อย่าคลุ้มคลั่ง จะมองเห็น เป็นธรรมดา

     พุทธทาสภิกขุ

  • และนี่ค่ะ บทความที่ CK ฝากไว้ในบทความของเม้ง

  • มองโดยนัย ให้มันสอน จะถอนโศก

    มองเยกโยก มันไม่สอน นอนเป็นบ้า

    มองไม่เป็น จะโทษใคร ที่ไหนมา

    มองถูกท่า ทุกข์ก็คลาย สลายเอง

     ความอยากได้อยากมี...เป็นธรรมดา

    การแก่งแย่งแข่งขันกัน...เป็นธรรมดา

    การเสแสร้งแกล้งทำ...เป็นธรรมดา

    การไม่รู้...ก็เป็นธรรมดา

    การรู้...ก็เป็นธรรมดา

    การรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดา...ก็ธรรมดา

    การหลุดจากสิ่งธรรมดาเหล่านี้ได้...คงไม่ธรรมดา

  • บทความที่ยกมาของทั้ง 2 ท่าน คือ คำอธิบายเบื้องหลังของเรื่องราวในบันทึกนี้ค่ะ
  • เห็นด้วยกับเม้งว่า สิ่งสมติที่เม้งว่าถึงไว้นั้น ถ้าเรารู้เท่าทันว่ามันเป็นสิ่งสมมติ  เราจะสบายใจกับมัน

 

  • น้อง Ranee จ๋า
  • ขอบคุณมากเลยสำหรับกำลังใจที่มีให้อย่างสม่ำเสมอตลอดมานับแต่เรารู้จักกัน
  • เห็นด้วยกับการยึดหลักการ "พอดี พอเหมาะ พอควร" ไว้เป็นเครื่องมือนำทางชีวิต
  • ตลอดเวลาที่เกี่ยวข้องกับใคร นับแต่พี่เปลี่ยนแปลงตัวเองมาได้เป็นหมอเจ๊เดี๋ยวนี้ ในความคิดของพี่ ไม่ได้มีใจให้กับเรื่อง "แพ้เพื่อชนะ" ค่ะ แต่มีใจให้กับเรื่อง "ชนะ-ชนะ-ชนะ---" ซะมากทีเดียว
  • เมื่อมีกรณีที่เกิดขึ้นแบบ "แพ้-ชนะ" พี่มักต้องให้เวลาเพื่อทบทวนเสมอว่า อะไรคือเหตุชักนำ
  • บันทึกนี้คือ เรื่องราวที่พี่ทบทวนเพื่อค้นหาทางออกให้เกิดการ "ชนะ-ชนะ-ชนะ---" ที่เกี่ยวข้องกับประเด็น การพัฒนาตน พัฒนางาน และพัฒนาองค์กรในฐานะที่เป็นผู้บริหารระดับกลางขององค์กรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆตลอดเวลา 6 ปีที่เกี่ยวข้องอยู่กับองค์กรหนึ่ง และ talent management ค่ะ

 

 

  • น้อง Ranee จ๋า
  • มาต่ออีกหน่อย
  • ที่พี่ว่าพระราชดำรัสที่น้องส่งมาให้ ทันเวลานั้นเพราะ
  • พี่ไม่รู้จะใช้คำพูดอะไร สื่อแทนคำในใจที่อยากบอกออกมาให้ใครทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับบันทึกได้รับรู้ได้ตรงใจค่ะ ว่าเมื่อมั่นใจว่าตนเป็นคนเก่ง สิ่งที่ควรกระทำในฐานะสมาชิกหนึ่งในสังคม ควรวางตัวอย่างไรให้เหมาะควร
  • มันเป็นความปรารถนาดีที่ยังอยากสื่อให้รู้นะค่ะ
  • น้องส่งบทความมาพอดียังกะรู้ใจเลย.....อิอิ....อ่านแล้วจึงคว้ามาใช้ได้เลยค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ
  • น้อง poo จ๋า
  • วันนี้เจ๊าะแจ๊ะ น้อยไปหน่อย เพราะมีอะไรกับหัวหน้ามา ใช่ไหม
  • ..........
  • พี่กับหัวหน้า ไม่มีอะไรต่อกันในเชิงความเห็นแย้งให้ใจทุกข์ เราเปิดใจคุยกันได้แบบสุนทรียสนทนาค่ะ 
  • เพียงแต่พี่เป็นคนช่างเก็บเกี่ยวประเด็นมาสะท้อนเพื่อเรียนรู้ตัวเอง เพื่อปรับปรุงชีวิตตนให้ดียิ่งๆขึ้นไป และเพื่อเตรียมพร้อมใจตนเองให้มีอุเบกขา หากเรื่องราวเกิดขึ้นจริง
  • ในบางมุมที่คนอื่นไม่ใคร่เก็บมาวิเคราะห์ตัวเอง ก็ไปเก็บมาวิเคราะห์อย่างเรื่องนี้เป็นต้น......ฮ่าๆๆๆๆ
  • ..........
  • อยากได้ยินเสียงเจ๊าะแจ๊ะจากน้องปู อีกอ่ะค่ะ

สวัสดีค่ะหมอ

อ่านแล้วมีความรู้ขึ้นอีกแยอะตรงกับใจมากๆ

.แต่รู้สึกว่ามันแฝงอะไรอยู่ข้างในใจมันบอกไม่ถูก อ่านแล้วรู้สึกเศร้าใจไม่เหมือนกับบันทึกเก่าๆ

.ตอนนี้เขียวก็มีการปล่อยวางในหลายๆเรื่อง ชีวิตมันมีความสุขมากขึ้นค่ะ

.เป็นกำลังใจให้ค่ะ

แอบใช้ของเขียว

จากน้องคนหนึ่งที่คุ้นกัน

อยากบอกว่าคนเรามีความแตกต่างกันตั้งแต่เกิดไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าใครคิดอะไร...

แต่สิ่งที่เราสามารถcontrolได้ก็คือใจเราความคิดเราถ้าเราพยายามหาคำตอบว่าใครคิดยังไงเราก็จะเกิดทุกข์แต่ถ้าเราหาคำตอบให้ได้ว่าเราคิดอย่างไร..เราก็จะมีความสุข

คนเราตลอดเส้นทางของชีวิตมันมักจะแฝงสิ่งที่สวยงามไว้เสมอถ้าเราลองมองดู

มีพระราชดำรัชมาฝากนิดนึง(ฟังเค้ามาอีกที)

ก่อนที่จะมีดาบที่สวยงามสง่าอยู่บนที่สูง

ก็มาจากเศษเหล็กที่ต้องผ่านความร้อน การถูกทุบตี เผาไฟ ผ่านความอดทนมา ถึงจะสามารถงามสง่าได้อย่างสวยงาม ชีวิตที่งามสง่ามักจะต้องผ่านอุปสรรคฉันนั้น

  •  
    • เขียวเอ๊ย
    • หมอเจ๊รักทุกคนในร.พ. เลยเป็นห่วงมากไปนะ
    • เมื่อใครหลายคนที่หมอเจ๊เกี่ยวข้องด้วย เขามั่นใจว่าเขาจะเดินหน้าต่อได้ด้วยตัวเอง
    • ด้วยความห่วงใยมั๊ง จึงทำให้หมอเจ๊ไปรั้งๆเขาไว้ไม่ให้พาตนโลดแล่นไปด้วยความทะนงดั่งกระทิงเปลี่ยวให้ต้องเจ็บตัว
    • ความเป็นห่วงนี้แหละที่ทำให้หมอเจ๊เป็นทุกข์ จึงต้องฝึกละวางมันซะ
    • ทำใจตัวเองให้ยอมรับได้ว่า ณ เวลานี้ถึงเวลาที่ควรปล่อยวางให้เขาเดินหน้าไปด้วยตัวเองตามที่ใจเขาปรารถนา ได้แล้ว  โดย ณ เบื้องต้นของการปล่อยวางนี้ ไม่พ้นที่จะทุกข์ใจเพราะห่วงใยเขานะน้องเอ๋ย
    • การฝึกใจให้ยอมรับ การลองผิดลองถูกของคนที่เรามอบรักให้ โดยรู้ว่าเขาจะพบกับความเจ็บปวดบางอย่างที่เราเองที่เป็นผู้ใหญ่กว่ารับรู้และเห็นอยู่แล้วๆนั้น มันคือการฝืนเดินออกจากไข่แดงอีกรูปแบบหนึ่งเลยเขียวเอ๋ย
    • ตอนที่ตกลงใจจะปล่อยวางความห่วงใยไว้นั้น หมอเจ๊ยอมรับว่าทุกข์ใจเพราะเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงมาถอดบทเรียนไว้เพื่อใช้ทบทวนย้อนเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่าผ่านเงื่อนไขเยี่ยงนี้มาได้อย่างไร
    • วันนี้หมอเจ๊ยังได้คุยต่อกับใครบางคนที่อยากเป็นกระทิงเปลี่ยวว่า หมอเจ๊รู้สึกในใจอย่างไร 
    • และสุดท้ายของวัน หมอเจ๊ได้แลกเปลี่ยนกับกัลยาณมิตรคนหนึ่งในที่ทำงานว่า หมอเจ๊โล่งใจที่เรื่องนี้ หมอเจ๊มีบทสรุปซะที หลังจากปล่อยผ่านมันมานานนมเต็มที คำพูดที่หมอเจ๊พูดกับเธอ คือ "หมอปลดธงลงแล้วค่ะ"  แลกเปลี่ยนกันไปแล้ว โล่งใจจนหัวเราะออกมาด้วยกันได้เต็มเสียงเลยค่ะ
    • กลับมาบ้านก็มาเปิดบันทึกตอบใครๆที่เข้ามาให้กำลังใจ รวมทั้งเขียวด้วยนี่แหละค่ะ
    • conductor ก็ให้กำลังใจผ่านอีเมล์มาด้วยนะค่ะ  ซึ่งหมอเจ๊ซึ้งใจมากในน้ำใจชาวเฮที่มอบให้ค่ะ
  • น้องน้อยที่มาแอบใช้ของเขียวเอย
  • ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนกัน และพระราชดำรัสที่นำมาบอกเล่า
  • ต้องยอมรับว่า ด้วยความรักมั๊ง จึงทำให้หมอเจ๊แอบคาดหวังกับความแตกต่างของคนอยู่ค่อนข้างมากอยู่
  • ความคาดหวังนี่ด้วยมั๊ง จึงทำให้น้ำหนักความห่วงใยยิ่งเพิ่มขึ้นมากเหมือนนุ่นที่เพิ่มน้ำหนักเมื่อโดนน้ำ
  • ..........
  • หมอเจ๊เป็นคนไม่ใคร่สนความคิดใครๆเท่าไร
  • ความคิดและความรู้สึกที่หมอเจ๊ให้ความสำคัญมากที่สุด ผู้เป็นเจ้าของ คือ ตัวหมอเจ๊เองค่ะ
  • ด้วยเหตุนี้หมอเจ๊จึงเป็นคนดื้อที่หลายคนเคยระอา เมื่อสนทนากับหมอเจ๊ได้ลึกแค่ระดับแรกและระดับสอง
  • ..........
  • ด้วยให้ความสำคัญอย่างนี้ หมอเจ๊จึงฝึกเรียนรู้ตัวเองตลอดมา และเรื่องนี้เป็นบทเรียนหนึ่งที่เมื่อฝึกถอดบทเรียนรู้ หมอเจ๊ก้ได้พบว่า เมื่อปลดปล่อยความห่วงใยเพื่อปล่อยวาง หมอเจ๊จึงปลดความทุกข์ที่เคยพบพานออกไปได้
  • และในวันนี้ หมอเจ๊กล่าวคำว่า "วางธงลงแล้ว" เพื่อรอ "ธงใหม่" ที่จะถูกชูขึ้นแทนที่ด้วยมือของเหล่าบรรดาหนูทั้งหลายที่แปลงร่างเป็นกระทิงจะประดิษฐ์ประดอยขึ้นมาให้ใครๆได้ชื่นชม
  • การได้พบคำตอบนี้ ทำให้หมอเจ๊ได้เรียนรู้วิธี "วางใจ" เพื่อ"ปล่อยวาง" ว่าทำให้ง่ายๆได้อย่างไรค่ะ 

พิมพ์ข้อความ "กับหัวหน้า" ติดผนัง เผื่อให้ลูกชายอ่าน เพราะชอบงัดกับหัวหน้า ขอบคุณนะคะ เคยอ่านพบคำสอนของท่านปัญญานันทะ ขอนำมาอ่านกัน

หน้า นอก บอกความงาม

หน้าในบอกความดี

หน้าที่บอกความสามารถ

หน้า นอกแต่งให้พอดี

หน้าใน และ หน้าที่ แต่งให้มากๆ


มีความรักมาส่งให้ค่ะ พอลล่า ...
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่

สวัสดีค่ะ อาจารย์ พอลล่ามาให้กำลังใจค่ะ ... มุมมองเด็ก บางครั้งไม่ได้ไม่เคารพ แต่อยากบอก อยากพูดทุกอย่างที่เราคิดให้กับผู้ใหญ่ฟัง เพราะเราเชื่อว่า การพูดในสิ่งที่คิด เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เราก็ได้เรียนรู้ว่า การพูดในสิ่งที่คิด หากใคร่ครวญและมองมุมเขาเพิ่มอีกหน่อย เราจะมีวิธีการพูดที่ได้ใจทั้งสองฝ่ายค่ะ สิ่งที่คิดทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณหมอ

  • คิดถึงจังเลย  เขียนน้อย แต่คิดถึงเยอะนะคะ
  • รักษาสุขภาพกายและสุขภาพใจ นะคะ

คนตัวยาวๆกลมๆคิดถึงค่ะ

สวัสดีเจ้าค่ะ ป้าหมอเจ๊จ๋า

น้องจิแวะมาเยี่ยมด้วยความคิดถึงค่ะ ป้าสบายดีไหมเจ้าค่ะ คิดถึงๆๆ กอดๆๆๆ รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ...หนูจิ

  • คุณ Flora ค่ะ
  • ดีใจที่บันทึกนี้เป็นประโยชน์สำหรับคุณค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ
  • น้อง paula ที่ปรึกษา~natadee ค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับความรัก และกำลังใจค่ะ
  • เป็นความเมตตาอย่างยิ่งที่เข้ามาแลกเปลี่ยนความเห็นให้รับรู้ความรู้สึกของเด็ก
  • เด็กจะเข้าใจเด็ก ผู้ใหญ่จะเข้าใจผู้ใหญ่
  • ผู้ใหญ่ส่วนมากที่ดุด่าว่ากล่าวเด็ก หรือเคี่ยวเข็ญ ตรวจสอบเด็กมากนั้นเป็นเพราะว่า ได้ผ่านโลกมามากกว่า ผ่านบทเรียนเดิมๆที่เห็นมาแล้ว และผ่านแบบฝึกหัดมามากกว่า ทำให้รู้วิธีลัดที่จะไปให้ถึงเป้าหมายชัด 
  • ผู้ใหญ่จึงชอบบอกให้ทำโน่นทำนี่ ชอบสั่ง และทำให้เด็กต่อต้านว่า ไม่รับฟังความคิดเห็นซะเลย
  • พี่เรียนรู้แล้วค่ะว่า ถึงแม้จะมีการพูดจากัน ความหวังดีนี้ก็ยังไม่สามารถสื่อให้เข้าใจได้ เพราะจุดที่ยืนอยู่ ณ ปัจจุบันของผู้ใหญ่นั้นมันเป็นเวลาในอนาคตของคนที่เด็กกว่าในเรื่องนั้น
  • ตอนผู้ใหญ่เรียนรู้มาขณะมีวัยเดียวกับคนที่เด็กกว่า เราก็ไม่รู้อนาคตเช่นกัน
  • พี่ลืมไปในเรื่องที่ว่า คนเราไม่ได้มีตาทิพย์มองเห็นเหตุการณ์อนาคตล่วงหน้าของตน
  • สรุปบทเรียนว่า เหตุเกิดเพราะนานาจิตตัง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติของคน
  • ล่วงเลยมาถึงวันนี้ อารมณ์ความรู้สึกตามบันทึกนี้มันสิ้นสุดดับไปแล้วค่ะ
  • ขอบคุณนะค่ะ
  • ครูอ้อย แซ่เฮ ค่ะ
  • คาดว่าจะได้เจอกัน ก็ไม่ได้เจอ หยิบหนังสือที่จะให้ติดไปด้วย เลยไม่ได้ยื่นให้กับมือพร้อมขอกอดดดดดดดดด
  • แล้วจะส่งให้ เมื่อว่างนะค่ะ

 

  • อาจารย์ นายประจักษ์~natadee ค่ะ
  • ดีใจที่อาจารย์แวะมา
  • ขอบคุณในความเมตตาค่ะ
  • ......
  • อยากฟังเรื่องน้องม่อนบ้างค่ะ
  • หมอเจ๊เคยคิดว่า ในเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราควรที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของเราใส่ลงให้เด็กๆเพื่อขัดเกลา
  • ฝึกจิตบ่อยๆเข้า หมอเจ๊กลับพบว่า
  • เด็กๆคือตัวอย่างที่ผู้ใหญ่ควรเรียนรู้เพื่อนำเอาสิ่งดีๆที่เห็นเก็บคืนกลับมาใส่ตัวเพื่อขัดเกลาจิตนะค่ะ
  • อาจารย์มีโอกาสดีที่มีหลานน้อยอยู่ใกล้ ลองใช้น้องม่อนเป็นตำราขัดเกลาจิตดูนะค่ะ 
  • ความสุข สดใส และสงบ เข้าใจชีวิตจะบังเกิดมีอีกมากหลายเลยค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท